นักลงทุนสายตาสั้น กับแท่งเขียวแสนยาวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดย AKN Blog
หากนับตั้งแต่การพบผู้ติดเชื้อ COVID-19 ครั้งแรกที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีนนั้น การแพร่ระบาดของไวรัสนี้กินเวลากว่า 1 ไตรมาสเป็นที่เรียบร้อย และจากจุดเล็กๆ ตรงนั้นก็กลายเป็นหนึ่งเหตุการณ์มหาวิปโยคที่สร้างแรงกดดันต่อตลาดการลงทุนทั่วโลกหลังจากวิ่งเป็นม้าเมาม้ามานานกว่า 10 ปี ที่มีการสะดุดระหว่างทางจากกรณีสงครามการค้า
..
แต่สัปดาห์ล่าสุดนั้น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับปรับตัวขึ้นกว่ามากกว่า 10% ทั้ง 3 ดัชนี อันประกอบไปด้วย
● S&P 500 ที่ปรับตัวขึ้นกว่า 12.10% ซึ่งครั้งล่าสุดที่ขึ้นแรงกว่านี้ ต้องย้อนกลับไปยังปี 1974 ที่เป็นช่วงที่สงครามน้ำมันเมื่อปี 1973 เริ่มหาข้อยุติได้กันเลยทีเดียว
● ขณะที่ NASDAQ ปรับตัวขึ้นกว่า 10.59% เป็นการขึ้นแรงที่สุดนับตั้งแต่ก่อนวิกฤติ Dot Com ในปี 2000 หรือกว่า 20 ปีมาแล้ว
● ด้าน Dow Jones นั้นปรับตัวขึ้นกว่า 12.67% ครั้งสุดท้ายที่ปรับตัวขึ้นมากกว่านี้ ในช่วง 23-27 มีนาคมที่ผ่านมานี่เอง
นักลงทุนสายตาสั้น กับแท่งเขียวแสนยาวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ซึ่งในกรณีของ Dow Jones นั้นเหมือนจะไม่นาน แต่ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตลาดนั้นบวกขึ้นแรงมากแค่ไหน ท่ามกลางแรงกดดันของการแพร่ระบาดที่ยังยากจะคาดเดาว่าจะไปสิ้นสุดเมื่อใด
..
ถือว่าเป็นอะไรที่ประหลาดไม่น้อย เมื่อดูตัวเลขการตกงาน (Initial Jobless Claim) ที่ประกาศออกมาพุ่งเร็วและแรงมาที่สุดเป็นประวัติการณ์ ด้วยการตกงานระดับ 16.8 ล้านคนภายในระยะเวลา 3 สัปดาห์เท่านั้น
ส่วนหนึ่งนั้นน่าจะเป็นผลมาจากความยากในการคาดเดาถึงผลกระทบของ COVID-19 ด้วย ที่ท้ายที่สุดแล้ว ไม่สามารถทราบได้อย่างแน่ชัดว่าจะไปจบลงที่ใด ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนต่างๆ จะถล่มทลายแค่ไหน หุ้นกู้จะผิดนัดชำระหนี้หรือไม่
เมื่อประกอบกับ ความขยันของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่ขยันมากเป็นพิเศษในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายนที่ผ่านมานั้น ด้วยการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบถี่ยิบ ซึ่งหากไม่ชัดเจนว่าถี่มากแค่ไหน ก็สามารถดูได้จาก Timeline การทำงานของ FED
..
ทำให้นักลงทุนนั้น เกิดอาการสายตาสั้นขึ้นมา บนความคาดหวังที่ว่า มาตรการที่มหาศาลขนาดนี้ของ FED เมื่อประกบกับมาตรการทางการคลังของทรัมป์แล้วนั้น จะช่วยให้ตลาดหุ้นยังคงเป็นขาขึ้นได้ต่อไป
โดยลืมคำนึงไปว่า ท้ายที่สุดแล้วนั้น แรงเหวี่ยงของเศรษฐกิจนั้น ไม่ได้นึกจะเหวี่ยงกลับจากฟุบ เป็น ฟื้นได้อย่างง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือ และยังมีความไม่แน่นอนอีกมากที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
แต่อย่างหนึ่งที่ #แอดลุง เชื่อเหลือเกินว่ามีโอกาสเกิดสูงก็คือ ความคาดหวังนี่เอง ที่อาจเป็นปัจจัยสำคัญให้ตลาดหุ้นกลับมาผันผวนแรงได้อีกครั้ง ตามทฤษฎีวงจร Expect & BIAS ใน Post นี้
หากอธิบายโดยง่ายก็คือ เพราะสุดท้ายแล้วนั้นอย่างที่เราทราบกันดีว่าการลงทุนในตลาดหุ้น ไม่ใช่การลงทุนในตัวเลขปัจจุบันแต่อย่างใด แต่เป็นการลงทุนบนความคาดหวังว่า บริษัทนั้นๆ จะเติบโตเท่านี้ บริษัทนี้ที่เราชอบจะไม่เจ็บจาก COVID-19 เมื่อได้รับมาตรการเยียวยาของ FED ซึ่งความคาดหวังเหล่านี้ก็เกิดมาจาก Bias ทั้งหลายในใจของนักลงทุน และก็วนต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งข้อเท็จจริงทางด้านปัจจัยพื้นฐานนี่เองปรากฏ
ซึ่งหากเป็นไปตามคาด หรือดีกว่าคาด แรงเหวี่ยงจากลูปดังกล่าวก็จะยิ่งแรงขึ้นไปอีก แต่ธรรมชาติของความคาดหวังนั้นก็เหมือนหนังสติ๊ก ที่ยิ่งดึงตึง หนังสติ๊กยิ่งมีแรงดีดไปได้ไกล แต่หากพลาดพลั้งขึ้นมาหนังสติ๊กนั้นก็ดีดหน้าเราได้
..
ฉันใดฉันนั้น Expect + Bias ยิ่งมากขึ้นฉันใด เวลาผิดหวังตลาดก็ดีดกลับได้แรงมากขึ้นเท่านั้น
ส่งผลให้เมื่อฤดูกาลประกาศผลประกอบการใกล้เข้ามา ความจริงทางด้านปัจจัยพื้นฐานปรากฏ ก็จะมีทั้งคนที่มองว่าดีกว่าคาด และคนที่มองว่าแย่กว่าคาด ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหุ้นเลือกทางอีกครั้ง ซึ่งเป็นไปได้ทั้งขึ้นต่อ หรือลงเหวยังไม่อาจคาดเดาได้
แต่สิ่งหนึ่งที่ #แอดลุง เชื่อเหลือเกินก็คือว่า ความผันผวนจากการสู้กันระหว่างคน 2 กลุ่มนั้นจะกลับมาอีกครั้ง ก่อนที่ตลาดจะเลือกทางอย่างแท้จริง
หากใครชอบความตื่นเต้นเร้าใจ โอกาสเล่นตามแรงเหวี่ยงช่วงนั้นก็น่าสนใจไม่น้อย
แต่สำหรับสาย Conservative ด้านการลงทุนอย่างผม บอกตามตรงเลยว่าทยอยสะสมทอง กับถือเงินสดอย่างเดียวเลยจ้า
ติดตามบทความอื่น ๆ อีกมากมายได้ที่ www.finspace.co
ติดตามเรื่องราวการเงินที่จะมาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เป็นคุณก่อนใครได้ที่
Facebook : FinSpace
LINE Official : http://bit.ly/2qL8S48
Twitter : http://bit.ly/2keFfVD
Instagram : http://bit.ly/2ktv2o7
Blockdit : https://bit.ly/37EWqmb
อ่านอะไรต่อดี…