ออมเงินไว้ตอนฉุกเฉิน เก็บไว้ไหนดี…มีกันหรือยัง ?
เราคงเห็นแล้วว่าเหตุการณ์ไม่ทันตั้งตัวเกิดขึ้นได้เสมอ โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ ทองๆ
ฉะนั้น การที่มี “เงินสำรอง” สักก้อนเพื่อเตรียมไว้ยาม “ฉุกเฉิน” จะช่วยให้เราผ่อนหนักเป็นเบา แม้จะสะดุดก็ยังลุกขึ้นเดินหน้าต่อไปได้
แต่หากวันนี้ใครยังไม่มี ก็ยังไม่สายที่จะเริ่มวางแผน คำถาม คือ จะเริ่มยังไงดี ควรเก็บเงิบไว้ที่ไหน แล้วเท่าไหร่ถึงจะพอ เรามีคำตอบมาฝาก
ก่อนอื่นอยากอธิบายก่อนว่า “เงินสำรองฉุกเฉิน” ก็คือ “เงินออม” นั่นแหละ เพียงแต่จุดประสงค์มีไว้เพื่อใช้ในยามฉุกเฉินจริงๆ เช่น ตกงาน เจ็บป่วยกะทันหัน หรือค่าใช้จำเป็นอื่นๆ ที่มาโดยไม่ทันตั้งตัว
..
? เงินสำรองฉุกเฉิน เท่าไหร่ถึงปลอดภัย ?
1. มนุษย์เงินเดือน : 6 เท่าของค่าใช้จ่าย
เช่น ปกติมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 20,000 บาท แสดงว่าเงินฉุกเฉินที่ควรมีเท่ากับ 20,000 x 6 = 120,000 บาท
2. คนทำงานฟรีแลนซ์ : 12 เท่าของค่าใช้จ่าย
เช่น ปกติมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 20,000 บาท แสดงว่าเงินฉุกเฉินที่ควรมีเท่ากับ 20,000 x 12 = 240,000 บาท
เหตุผลที่ฟรีแลนซ์ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินมากกว่ามนุษย์เงินเดือน เพราะฟรีแลนซ์รายได้ไม่แน่นอน บางเดือนอาจจะเยอะ บางเดือนไม่มีเงินเข้ามาเลย ดังนั้น จึงควรนึกถึงกรณีเลวร้ายที่สุดไว้ก่อน เช่น หากไม่มีงานจ้างเป็นเวลานานๆ
..
แล้วถามว่าถ้าอยากเก็บมากกว่า 6 หรือ 12 เท่า ได้ไหม คำตอบ คือ ได้ แต่ก็ต้องพิจารณาดีๆ ว่าเราอาจเสียโอกาสที่จะนำเงินก้อนนี้ไปลงทุนต่อยอดได้เหมือนกัน
? ถ้ายังไม่มี…เริ่มยังไง
วิธีเริ่มต้นง่ายๆ ของการเก็บเงินทุกประเภท คือ ความสม่ำเสมอ เพราะฉะนั้น แนะนำว่า ควรแบ่งเงินอย่างน้อย 10% ของรายได้ ออมทุกเดือนไว้เป็นเงินฉุกเฉิน ถ้าจะให้ดีก็ตั้งระบบให้หักจากบัญชีอัตโนมัติไปเลย
ถ้าเดือนไหนช็อตจริงๆ ค่อยลดจำนวนเงินออมลงก็ได้ แต่อย่าละเลยการออมเด็ดขาด แม้จะมีน้อยก็ต้องออมต่อเนื่อง เพราะถ้าหยุดไปสักเดือน ก็มีแนวโน้มว่าเดือนต่อไปเราจะไม่เก็บต่อ ทำให้แผนเก็บเงินพังได้
สำคัญที่สุดอย่าลืมแยกบัญชีเงินฉุกเฉิน ออกจากบัญชีทั่วไปด้วย เพื่อป้องกันความสับสน
? เงินฉุกเฉิน เก็บไว้ไหนให้ปลอดภัย
1. สภาพคล่องสูง
เนื่องจากเงินก้อนนี้ เราต้องนำออกมาใช้ได้ทันทีเมื่อต้องการ แหล่งเก็บเงินจึงต้องมีสภาพคล่องสูง ฝากง่าย ถอนคล่อง อยากได้เงินมาใช้ ต้องได้เลย
2. ความเสี่ยงต่ำ
ควรเน้นสินทรัพย์ที่ความเสี่ยงต่ำ ผันผวนน้อย เพื่อป้องกันเงินต้นสูญหาย
3. ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อ
แม้จะไม่ได้เน้นเก็บไว้ในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงมาก แต่อย่างน้อยก็ต้องชนะอัตราเงินเฟ้อ เพื่อไม่ให้มูลค่าของเงินลดลงเรื่อยๆ ซึ่งปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 0.93%
จะเห็นว่าจากคุณสมบัติ ทั้งสภาพคล่องสูง – เสี่ยงต่ำ – ชนะเงินเฟ้อ ปัจจุบันมีอยู่ 2 สินทรัพย์ที่ตอบโจทย์นี้ได้ นั่นคือ บัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง และกองทุนรวมตลาดเงิน
..
วันนี้ FinSpace จึงได้คัดตัวช่วยเก็บเงินฉุกเฉินที่น่าใจมาฝาก
? บัญชีออมทรัพย์ ดอกเบี้ยสูง
1. บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ดิจิทัล ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย
อัตราดอกเบี้ย 2%
เงื่อนไข ยอดเงินฝากตั้งแต่ 10,001 ถึง 50,000 บาท
2. TISCO My Savings ธนาคารทิสโก้
อัตราดอกเบี้ย 2%
เงื่อนไข ยอดเงินฝากตั้งแต่ 50,001 ถึง 100,000 บาท
3. TMB Dream savings ธนาคารทหารไทย
อัตราดอกเบี้ย 1.75% ทุกช่วงจำนวนเงินฝาก
4. TMRW Savings account ธนาคารยูโอบี
อัตราดอกเบี้ย 1.60% ทุกช่วงจำนวนเงินฝาก
..
? กองทุนรวมตลาดเงิน ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี
1. TCMF-I บลจ. UOBAM
ผลตอบแทน 1.49%
2. T-CASH บลจ. THANACHART
ผลตอบแทน 1.25%
3. LHMM บลจ. LH FUND
ผลตอบแทน 1.22%
4. WE-MONEY-R บลจ. We Asset
ผลตอบแทน 1.16%
หมายเหตุ อ้างอิงผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี ณ เดือนพ.ค. 63
สำหรับคนที่สนใจอัพเดท ผลตอบแทนล่าสุด สามารถเข้าไปดูได้ที่ Finnomena Fund https://www.finnomena.com/fund/filter?category=LC00002483&page=1&period=1Y&sort=RT,1Y,DESC
ติดตามบทความอื่น ๆ อีกมากมายได้ที่ www.finspace.co
ติดตามเรื่องราวการเงินที่จะมาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เป็นคุณก่อนใครได้ที่
Facebook : FinSpace
LINE Official : http://bit.ly/2qL8S48
Twitter : http://bit.ly/2keFfVD
Instagram : http://bit.ly/2ktv2o7
Blockdit : https://bit.ly/37EWqmb
อ่านอะไรต่อดี…