ลงทุนแบบ William O’Neil คว้าหุ้นโตทะยานฟ้า ด้วย 7 เคล็ดวิชาพื้นฐานผสานเทคนิค
ในยุทธจักรมังกรหยก ก๊วยเจ๋ง ขึ้นเป็นหนึ่งในใต้หล้าด้วยการผสานวิชาจากหลายสำนักมากกว่าที่จะเรียนเคล็ดความสำเร็จจากสำนักใดเพียงสำนักหนึ่ง เขาเติบโตในทัพมองโกล เรียนลมปราณจากนักพรตนิกายช้วนจิน สืบทอด 18 ฝ่ามือพิชิตมังกรจากประมุขพรรคกระยาจก ถกวิชากับเฒ่าทารก ก่อนจะบรรลุยอดวิทยายุทธจากคัมภีร์เก้าอิม
ทอดตาไปในยุทธจักรการลงทุน 2 สำนักใหญ่ที่ทรงอิทธิพลประกอบด้วยสำนักพื้นฐาน (fundamental analysis) และสำนักเทคนิค (technical analysis) ทว่ายอดฝีมือบางคนกลับสามารถผสานวรยุทธสองแนวทางออกมาเป็นการลงทุนแบบ “พื้นฐานผสานเทคนิค” หรือ Techno-fundamental analysis ที่นำปัจจัยทั้งสองแบบเข้ามาเป็นตัวกำหนดการลงทุน
ยอดยุทธผู้นั้นมีนามว่า William J. O’Neil
ประวัติชีวิต นักลงทุนเลือดผสม
1930 คือปีที่ปรากฏการณ์ Dust Bowl พายุฝุ่นครั้งใหญ่เริ่มกระหน่ำทำลายที่ราบตอนกลางอันแห้งแล้งของสหรัฐฯ ต่อเนื่องยาวนาน 6 ปี และก่อนหน้านั้นหนึ่งปีที่วอลสตรีท ตลาดหุ้นได้ถล่มลงมาจากการเก็งกำไรของนักลงทุนหลายล้านชีวิต นำไปสู่ภาวะตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) ซึ่งเป็นเหมือนพายุลูกใหญ่ที่ม้วนกลืนเอาเศรษฐกิจสหรัฐฯ (และโลกที่กำลังฟื้นตัวจากสงครามโลกครั้งที่ 1) เข้าสู่ช่วงเวลาอันแสนลำบาก
มหันตภัยทั้งหมดคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่นานก่อนที่ WIlliam O’Niel ชายผู้ที่จะเป็นอีกหนึ่งสุดยอดนักลงทุนในอนาคตจะเกิดมาในปี 1933 ณ โอคลาโฮมา หนึ่งในรัฐที่ได้รับผลกระทบหนักหนาจาก Dust Bowl และความยากลำบากเหล่านี้ก็ได้กลายเป็นภูมิหลังของแรงผลักดันในการทำงานอันเข้มข้นและการเห็นถึงความสำคัญด้านการเงินของตัว O’Neil เอง
ปี 1955 คือปีที่มี 3 สิ่งเกิดขึ้นกับตัว William O’Neil ในวัย 21 ปี นั่นคือ 1) การจบการศึกษาด้านธุรกิจจาก Southern Methodist University 2) การเข้าสู่กองทัพอากาศสหรัฐฯ และที่สำคัญคือ 3) การชิมลางการลงทุนด้วยการซื้อหุ้นตัวแรกคือ Procter & Gamble จำนวน 5 หุ้น
แต่เส้นทางการเติบโตอันเร้าใจของเขาจะเริ่มขึ้นในอีก 3 ปีให้หลัง…
O’Neil เข้าสู่โลกการลงทุนเต็มตัวในปี 1958 ด้วยเลือดของนักสวนตลาดที่ไหลเวียนอยู่เต็มตัว เขาว่ายทวนกระแสของฝูงชนที่มุ่งหน้าสู่วอลสตรีทด้วยการเริ่มต้นเส้นทางอาชีพที่แคลิฟอร์เนียในฐานะนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ Hayden, Stone & Company
เขาเคยกล่าวเอาไว้ถึงสาเหตุตนที่ปฏิเสธเส้นทางอาชีพในวอลสตรีทว่า “ผมต้องการไปยังแอลเอเพราะผมคิดว่าที่นั่นมีอนาคตมากมาย”
แล้วก็เป็นที่นั่นเองที่เขาพบว่า การวิเคราะห์ข้อมูล คือกุญแจดอกสำคัญของความสำเร็จในการลงทุน และเขาก็กลายเป็นคนกลุ่มแรก ๆ ที่นำคอมพิวเตอร์และฐานข้อมูลเข้ามาใช้ในการเทรดหุ้น
Charles Harris ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอจาก O’Neil Capital Management อธิบายถึงจุดเด่นของ “บิล” จากประสบการณ์ที่เคยทำงานร่วมกันว่า
สิ่งที่ทำให้บิลต่างไปจากคนอื่นคือความสามารถในการวางอารมณ์เอาไว้ห่างตัว แล้วทุ่มความสนใจทั้งหมดไปที่ความเคลื่อนไหวของหุ้นและข้อมูลจริง
ความน่าสนใจก็คือว่า เมื่อพูดถึง “ข้อมูล” ในสารบบความคิดของ O’Neil เขาไม่ได้หมายถึงแค่ข้อมูลทางเทคนิคเท่านั้นแต่ยังนับรวมปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจ เช่น ยอดขาย อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือแม้แต่ทีมบริหาร เข้าไปในการวิเคราะห์อีกด้วย
และในเวลาต่อมาแนวคิดของเขาก็ถูกพิสูจน์ว่าใช้ได้จริงด้วยผลงานการลงทุนที่อยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าสะท้านยุทธภพ
แนวคิดการลงทุนแบบพื้นฐานผสานเทคนิค
การลงทุนแบบผสมผสานผลิดอกบานสะพรั่งในปี 1962 ถึง 1963 เมื่อ William O’Neil สามารถลงทุนและเปลี่ยนเงิน 5,000 เหรียญให้กลายเป็น 200,000 เหรียญ (คิดเป็นเงินปัจจุบัน 1.5 ล้านเหรียญ) คิดเป็นการเติบโต 400% ภายในเวลาแค่ 1 ปี ด้วยขายชอร์ตหุ้น Korvette ลองหุ้น Chrysler และ ลองหุ้น Syntex
เขาต่อยอดความสำเร็จครั้งนี้ด้วยการก่อตั้ง William O’Neil + Co. บริษัทโบรกเกอร์เพื่อทำการวิจัยโดยมีการสร้างฐานข้อมูลรายวันที่ติดตามบริษัทกว่า 70,000 แห่งทั่วโลกเพื่อบริการแก่กลุ่มนักลงทุนสถาบัน ส่วนผลงานอื่น ๆ ของบริษัทคือการก่อตั้งกองทุนรวมที่ใช้เวลาแค่ 2 ปีก็กลายเป็นหนึ่งในกองทุนที่มีผลงานระดับท็อปในสหรัฐฯ แถมบริษัทของเขาก็ยังได้รับความไว้วางใจจากวาติกันให้จัดการสินทรัพย์บางส่วนให้อีกด้วย
รูปภาพของ William J’ O’Neil Source: www.williamoneil.com
O’Neil ย้อนกลับไปอธิบายถึงงานอย่างแรกที่บริษัทของเขาทำ ในการให้สัมภาษณ์ในวาระครบรอบ 50 ปี William O’Neil + Co. เมื่อปี 2013 ที่ผ่านมาว่า
ผลงานแรกที่ผมสร้างขึ้นคือชาร์ตที่ไม่ได้พูดถึงเพียงราคาและปริมาณหุ้นทั้งหมด แต่ยังรวมเอาปัจจัยพื้นฐานทุกแบบเข้าไปด้วยทั้งยอดขาย กำไร ไปจนถึงผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น
นอกจากนี้ David Saito-Chung รองบรรณาธิการสายตลาดหุ้นของ Investor’s Business Daily (IBD คือหนังสือพิมพ์ด้านการลงทุนซึ่งเป็นอีกหนึ่งธุรกิจของ O’Neil) เคยเขียนบทความเกี่ยวกับปรัชญาชีวิตและการลงทุนของ O’Neil โดยช่วงหนึ่งของบทความมีการอธิบายว่าทำไมนักลงทุนผู้นี้ถึงให้ความสำคัญกับปัจจัยทั้งสองแบบเอาไว้อย่างแจ่มแจ้ง ดังนี้
เขาเป็นคนแรกๆ ที่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลสำคัญของหุ้น และยังเป็นคนแรกๆ ที่เอาปัจจัยพื้นฐานและแนวโน้มการซื้อขายมารวมเอาไว้ในกราฟหุ้น เพราะเขามองว่าปัจจัยพื้นฐานคือสิ่งสำคัญในการคัดเลือกบริษัทที่ดี และมองว่าปัจจัยเทคนิคจะช่วยให้เข้าหุ้นเหล่านั้นได้ในจังหวะที่เหมาะเจาะ
CANSLIM กฎเหล็กการลงทุน ของสำนักพื้นฐานผสานเทคนิค
ตลอดเส้นทางในยุทธจักรการลงทุน William O’Neil ได้พบพานกับ 7 สิ่งที่มักจะมีร่วมกันในหุ้นชั้นยอดก่อนที่ราคาจะพุ่งทะยาน และสิ่งเหล่านั้นก็กลายมาเป็นกฎเหล็กการลงทุน 7 ข้อที่เขาตราเอาไว้ในชื่อ CANSLIM ซึ่งเชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินผ่านหูกันมา
และกฎเหล็กประจำสำนักที่ว่า มีดังนี้
C = Current earnings
มองหาบริษัทที่ประกาศผลการดำเนินงานเป็นกำไรเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 25% แต่ถ้าเป็นการเพิ่มขึ้นด้วยอัตราเร่งจะยิ่งเป็นสัญญาณที่ดี
A = Annual earnings
บริษัทที่มีการเติบโตติดต่อกัน 3 ปี และโตไม่น้อยกว่า 25% ต่อปี และ ROE ควรสูงกว่า 17%
N = New product, service or highs
หุ้นที่ดีมักจะมีเรื่องราวใหม่ๆ เช่น สินค้าใหม่ นวัตกรรม ที่เป็นผลดีต่อธุรกิจ เช่น iPhone เป็นต้น
S = Supply and Demand
หาหุ้นขนาดเล็กที่มีปริมาณการซื้อขายสูงๆ จะทำให้โอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นสูงๆได้
L = Leader or laggard
เลือกหุ้นที่เป็นผู้นำจากอุตสาหกรรมที่เป็นผู้นำ 2-3 บริษัท โดยอาจใช้ Relative price strength
I = Institutional Sponsorship
หาหุ้นที่ถือโดยสถาบันในสัดส่วนที่พอดี เช่น กองทุนและธนาคาร แต่เราควรจะซื้อหุ้นในช่วงที่สถาบันกำลังเริ่มเข้าซื้อเนื่องจากจะได้หุ้นในราคาที่ไม่แพงเกินไป
M = Market direction
ภาวะตลาดโดยรวมควรเป็น uptrend ซึ่งจะช่วยผลักดันราคาหุ้นให้สูงขึ้นตามด้วย เขากล่าวว่าในภาวะที่ตลาดเป็นขาขึ้น สามในสี่ของหุ้นในตลาดจะมีทิศทางขาขึ้น
อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบ CANSLIM ได้ที่: การเลือกหุ้นด้วยวิธี CANSLIM
สรุปสั้น ๆ ว่าหลัก CANSLIM มองว่าปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดความสามารถในการเติบโตของหุ้นจะประกอบไปด้วยผลประกอบการรายไตรมาสและรายปี ความเปลี่ยนแแปลงใหม่ ๆ ของธุรกิจ ปริมาณการซื้อขาย สถานะในอุตสาหกรรม การลงทุนจากสถาบัน ไปจนถึงเทรนด์ตลาดโดยรวม ซึ่งเป็นเรื่องของทั้งพื้นฐานและเทคนิคผสมผสานกันไป
พูดถึงปัจจัยพื้นฐาน O’Neil จะมองข้ามปัจจัยบางอย่างไปและให้ความสำคัญกับปัจจัยบางส่วนที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว เช่น การเติบโตของกำไรและยอดขายที่แข็งแกร่ง การเป็นผู้นำในวงการในแง่ของผลกำไรด้วยสินค้าชิ้นใหม่ที่เหนือกว่าคนอื่น เป็นต้น ซึ่งในแง่นี้แนวทางของเขาก็ดูจะละม้ายคล้ายกับนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม ก็มีปัจจัยพื้นฐานบางตัวที่เขาค่อนข้างตั้งคำถาม ยกตัวอย่างเช่น มูลค่าทางบัญชีของบริษัท เงินปันผล หรือ P/E ratio ที่เขาระบุว่ามีค่าทางการพยากรณ์น้อยมากในการระบุบริษัทที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในอเมริกาในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา
มรดกถึงจอมยุทธ์นักลงทุนยุคใหม่
แนวคิดการลงทุนแบบพื้นฐานผสานเทคนิคในระบบ CANSLIM ถูกส่งผ่านถึงนักลงทุนรุ่นต่อมาอย่างเป็นระบบในหนังสือที่ William O’Neil เขียนขึ้นเมื่อ 35 ปีก่อน (และยังเป็นตำราการลงทุนขึ้นหิ้งจวบจนปัจจุบัน) เรื่อง How to Make Money In Stocks หรือที่แปลเป็นฉบับไทยในชื่อ คัดหุ้นชั้นยอด ด้วยระบบชั้นเยี่ยม ซึ่งตอนนี้มียอดขายกว่า 4 ล้านเล่มทั่วโลก
พูดได้ว่า William O’Neil เป็นต้นธารของการลงทุนแบบไฮบริดอย่างแท้จริง จนถึงขั้นที่ว่า Mark Minervini เทรดเดอร์ระดับเซียนเจ้าของตำแหน่งแชมป์ U.S. Investing Championship 2 สมัย (และแน่นอนเขาคืออีกหนึ่งนักลงทุนสายพื้นฐานผสานเทคนิค) ก็ยังออกมายกย่อง O’Neil ในปี 2019 ว่าเป็นตำนานผู้สร้างคุณูปการให้กับศาสตร์แห่งการเทรดหุ้นที่ยิ่งใหญ่กว่าใครคนไหนในประวัติศาสตร์
——————————————–
ติดตาม #FinSpace เพิ่มเติมได้ที่
Instagram : https://bit.ly/3N3Yc5X
TikTok : https://bit.ly/3pAovpq
Twitter : https://bit.ly/3Cp68Ll
Blockdit : https://bit.ly/3VM3HJr
Website : http://bit.ly/2lxvlhY