ส่องยุทธศาสตร์ Made in China 2025 ปัจจุบันนี้ จีนไปได้ไกลขนาดไหนแล้ว ?
FSspecialcolumnists x BottomLiner l ส่องยุทธศาสตร์ Made in China 2025 ปัจจุบันนี้ จีนไปได้ไกลขนาดไหนแล้ว
แผนนี้เริ่มตั้งแต่ปี 2010 เพื่อให้จีนสามารถพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง ลดการพึ่งพาต่างชาติ
แม้ว่าจะเป็นเรื่องสำคัญมากในการหาทิศทางเพื่อลงทุนหุ้นจีน แต่มีน้อยคนเหลือเกินที่พูดถึงเรื่องนี้ และเหลือเวลาเพียง 1 ปีนิด ๆ เท่านั้นก็จะถึงปี 2025 แล้ว
วันนี้ BottomLiner เลยอยากพาติดตามความคืบหน้ากันครับ ว่าปัจจุบันนี้จีนตามแผนไปได้ขนาดไหนแล้ว
10 ยุทธศาสตร์ Made in China 2025
AI (Artificial Intelligence)
ปี 2025 จีนตั้งเป้าว่าอุตสาหกรรม AI จะต้องพัฒนาถึงจุดที่สามารถใช้งานได้จริงส่งเสริมทั้งภาครัฐและธุรกิจ
❌ หากนับจากจำนวนสิทธิบัตร เราจะเห็นว่าจีนขึ้นนำอเมริกามาพักใหญ่แล้ว โดยจีนมีสิทธิ์บัตรที่เกี่ยวข้องกับ AI ราว ๆ 1.6 แสนและยังเพิ่มต่อเนื่องประมาณ 40% ต่อปี ในขณะที่สหรัฐมีสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับ AI อยู่ราว ๆ 6 หมื่นรายการ และเติบโตประมาณ 10% ต่อปีเท่านั้น
แต่เราไม่สามารถวัดเรื่องนี้จากปริมาณอย่างเดียวได้เพื่อวัดว่าใครเหนือกว่า
ด้วยเหตุที่ทุนเพื่อการพัฒนา AI ส่วนใหญ่ถูกคัดเลือกและควบคุมจากรัฐบาลเป็นหลัก ทำให้ปัจจุบันจีนกำลังเผชิญปัญหาที่มีสิทธิบัตรที่มีอยู่จำนวนมากแต่เอามาใช้จริงยังไม่ค่อยได้
Electronic
โดยเฉพาะ Semiconductor
จีนตั้งเป้าว่าใน 2030 จะสามารถผลิตเองได้ ประมาณ 80% ของที่ต้องการใช้
❌ ปัจจุบัน จีนเป็นประเทศที่บริโภค Semiconductor มากที่สุดในโลก แต่ผลิตเองได้ 40% เท่านั้น
เนื่องจากอุตสาหกรรม Semiconductor เป็นอุตสาหกรรม ที่ต้องใช้ต้นทุนและความรู้ในการพัฒนาที่สูงมาก ซึ่งปัจจุบัน Semiconductor ระดับ Advance ยังเป็นอุตสาหกรรมที่ถูกผูกขาดโดยสหรัฐและพันธมิตร
Robotic
รัฐบาลจีนตั้งเป้าว่าในปี 2025 จะต้องผลิตหุ่นยนต์ไว้ใช้เองในประเทศให้ได้ 70% ของความต้องการในประเทศ
❌ ซึ่งประเทศจีน เป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมผลิตหุ่นยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทิ้งห่างเบอร์ 2 อย่างญี่ปุ่นกว่า 3 เท่า (ข้อมูลปี 2018) แต่ปริมาณการใช้งานยังไม่โดดเด่นเท่าการผลิต โดยข้อมูลในปี 2021 พบว่า ปริมาณการใช้หุ่นยนต์ในอุตสาหกรรมการผลิตของจีนยังอยู่เป็นอันดับ 9 ของโลก ที่ 246 ตัว ต่อคน 10,000 คน ในอัตราเติบโต 31.5% ต่อปี ขึ้นมาจาก อันดับ 14 ในปี 2017
Aerospace Equipment
รัฐบาลจีนวางแผนว่าจะส่งออกชิ้นส่วนเครื่องบินโดยสารให้ได้ 10% ของตลาดโลกในปี2025
จากข้อมูลในปี 2022 พบว่าปัจจุบัน จีนครองสัดส่วนตลาดชิ้นส่วนเครื่องบินประมาณ 5% และคาดว่าจะถึง 10% ในปี 2030
❌ แม้ว่าจะเติบโตได้ดีแต่ยังช้ากว่าเป้าหมายไปมาก
NewEnergyVehicles (NEVs)
รัฐบาลจีนต้องกาลดการบริโภคน้ำมันให้มากที่สุด โดยตั้งเป้าว่า NEVs จะมีสัดส่วนเป็น 40% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในปี 2025
ในปีนี้คาดว่ารถ NEVs จีนมียอดขายประมาณ 6 ล้านคันจากยอดขายรถยนต์ 20 ล้านคัน หรือคิดเป็นประมาณ 30% จากยอดขายทั้งหมด
✅ ซึ่งปัจจุบันผู้ผลิตรถ NEVs จีนที่ใหญ่ที่สุดคือ BYD โดยครองสัดส่วนประมาณ 50% ของตลาด
Energy Equipment
รัฐบาลตั้งเป้าว่าจะต้องสามารถผลิตสิ้นส่วนอุปกรณ์ในการผลิตพลังงานเช่น อุปกรณ์แปลงกระแสไฟ, เครื่องปั่นกระแสไฟฟ้า, และ circuit breakers ให้ได้ 70% ของความต้องการในปี 2025
✅ ซึ่งปัจจุบันถือว่าทำได้ใกล้เคียงเป้าหมายแล้ว
โดยในปี 2021 จีนสามารถผลิตชิ้นส่วนใช้เองได้ประมาณ 65% จากการใช้งานในประเทศแล้ว
อุตสาหกรรมรถไฟ
รัฐบาลตั้งเป้าว่าจะต้องสร้างเครือข่ายรถไฟความเร็วสูง พร้อมรางวิ่งมากกว่า 38,000 กม.
✅ ซึ่งปัจจุบันรางรถไฟในจีนมีมากกว่า 40,000 กม. ถือว่าบรรลุเป้าหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อุตสาหกรรมอุปกรณ์สำหรับการเกษตร
รัฐบาลตั้งเป้าผลิต
รถแทรกเตอร์อัจฉริยะ 100,000 คัน
โดรนการเกษตร 10,000 ตัว
หุ่นยนต์สำหรับการเกษตร 1,000 ตัว
ในปี 2025 เพื่อพัฒนาศักยภาพในการผลิตสินค้าเกษตรของจีน
✅ ซึ่งในปัจจุบันจีนถือว่าประสบความสำเร็จในด้านนี้
โดยสามารถผลิต
รถแทรกเตอร์อัจฉริยะ 120,000 คัน
โดรนการเกษตร 100,000 ตัว (มากกว่าเป้าไปแล้ว 10 เท่า)
หุ่นยนต์สำหรับการเกษตร 1,000 ตัว (มากกว่าเป้าไปแล้ว 10 เท่า)
อุตสาหกรรม Hi Tech Ship
รัฐบาลจีนตั้งเป้าว่าจะต้องผลิตเรือพลังงานก๊าซธรรมชาติ 1,000 ลำ รวมถึงพัฒนาพลังงานทางเลือกอื่น ๆ และ โครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องในปี 2025 เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างน้อย 50% ในปี 2050
❌ ในส่วนนี้ทำได้ค่อนข้างช้า โดยปัจจุบันจีนผลิตได้เพียง 100 ลำเท่านั้น
อุตสาหกรรมยาและเครื่องมือแพทย์
รัฐบาลตั้งเป้าคิดค้นยารักษาโรคใหม่ ๆ 100 ตัว
เครื่องมือแพทย์ 50 ชนิด
ส่งออกยามากกว่า $20 Bn ในปี 2025
✅ ซึ่งในปี 2022 ปีเดียว จีนได้ คิดค้นยารักษาโรค 16 ตัว
เครื่องมือแพทย์ 20 ตัว
และ ส่งออกยา $30 Bn ซึ่งเกินขากเป้าไปเรียบร้อยแล้ว
สรุป
จีนสามารถทำตามเป้าหมายได้บางส่วน และบางส่วนถือว่าพลาดเป้าไปเยอะมาก ซึ่งอุตสาหกรรมที่ทำไม่ได้ตามเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง หรือ ถูกผูกขาดโดยสหรัฐ และพันธมิตร เช่น AI, Electronic, Robotic และ ชิ้นส่วนเครื่องบิน เป็นต้น ในส่วนที่สหรัฐไม่สามารถกรีดกันได้ ส่วนนั้นจีนมักจะทำได้ดี เช่นอุตสาหกรรม 5G, รถยนต์ไฟฟ้า, การเกษตร เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายสิ่งซึ่งจีนต้องการอย่างมากเพื่อปลดล็อคศักยภาพของประเทศ ยกตัวอย่างเช่น อุปกรณ์ขุดเจาะ Shale Oil ซึ่งปัจจุบันสหรัฐผูกขาดแต่เพียงผู้เดียว ทำให้สหรัฐกลายเป็นมหาอำนาจการขุดเจาะน้ำมัน ตั้งแต่ปี 2018 เพราะมีต้นทุนที่ถูกกว่าที่อื่นในโลก
โดยพบว่าใต้ดินของจีนมี Shale Oil กว่า 720,000 ล้านตัน ซึ่งเป็นเบอร์ 2 ของโลกเป็นรองแค่ สหรัฐที่มีอยู่ 2 ล้านล้านตัน เท่านั้น แต่ต้นทุนการขุดในจีนสูงกว่าสหรัฐเป็นอย่างมาก ทำให้ไม่คุ้มในการขุด Shale Oil
ซึ่งหากจีนสามารถปลดล็อคส่วนนี้ได้จะสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศเป็นอย่างมาก
ติดตามบทความอื่น ๆ อีกมากมายได้ที่ www.finspace.co
ติดตามเรื่องราวการเงินที่จะมาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เป็นคุณก่อนใครได้ที่
Facebook : FinSpace
LINE Official : http://bit.ly/2qL8S48
Twitter : http://bit.ly/2keFfVD
Instagram : http://bit.ly/2ktv2o7
Blockdit : https://bit.ly/37EWqmb